คัมภีร์ฉันทศาสตร์

[-HoMe-] [-Thai M.5-] [-Thai M.5_2-] [-PorTFoRiO-] [-WeBBoArD-] [-WeBMaSTeR-]

 

คัมภีร์ฉันทศาสตร์ 


          หมายถึง  ตำราแพทย์โดยรวม   ภาพนี้แสดงความสำคัญของจรรยาแพทย์และการบูชาครู 

หมายความว่า ผู้ที่เป็นแพทย์นั้นพึงรักษาศีลและมีจรรยาบรรณในอาชีพของตนเป็นผู้ที่มอบความรักและ

เป็นผู้ที่เสียสละแก่เพื่อนมนุษย์  โดยไม่เลือกชั้นวรรณะโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แพทย์ที่ทำได้เช่นนี้เมื่อสิ้นอายุขัยในโลกมนุษย์แล้วก็จะได้ไปจุติบนสรวงสวรรค์  ส่วนแพทย์ที่ขาดจรรยาบรรณตายไปแล้วก็จะไปเสวยทุกข์ทรมานอยู่ในนรก

คัมภีร์ฉันทศาสตร์

     คัมภีร์ฉันทศาสตร์ เป็นคัมภีร์ ว่าด้วยประเภทของไข้ต่างๆ

    ๑.๑     ลักษณะของไข้  ซึ่งเมื่อเวลาจับ และกำลังวัน จะบอกว่า ไข้นั้นเป็นไข้ประเภทใด มี ๓ สถาน คือ    

              ๑.๑.๑     ไข้เอกโทษ เริ่มจับเวลาย่ำรุ่ง ถึง บ่าย ๒ โมง แล้วไข้นั้นจะค่อยๆ คลายลง    

              ๑.๑.๒     ไข้ทุวันโทษ เริ่มจับเวลาย่ำรุ่ง ถึง ๒ ทุ่ม แล้วไข้นั้นจะค่อยๆ คลายลง    

              ๑.๑.๓     ไข้ตรีโทษ เริ่มจับเวลาย่ำรุ่งถึงตี ๒ แล้วต่อถึงรุ่งเช้า แล้วไข้นั้นจะค่อยๆ ส่างคลายลง

    

    ๑.๒     ลักษณะของวันเวลา ที่ไข้กำเริบ มี ๔ สถาน คือ    

              ๑.๒.๑     กำเดา กำเริบ ๔ วัน    

              ๑.๒.๒     เสมหะ กำเริบ  ๙ วัน    

              ๑.๒.๓     โลหิต กำเริบ  ๗ วัน     

              ๑.๒.๔     ลม  กำเริบ ๑๓ วัน

    

    ๑.๓     กำลังของธาตุกำเริบ   มี ๔ สถานคือ    

              ๑.๓.๑     ตติยะชวร   คือนับจากวันที่เริ่มไข้ ไปจนถึง ๔ วัน     

              ๑.๓.๒     ดรุณชวร   คือนับจากวันที่ ๕ ไปถึงวันที่ ๗ รวม ๓ วัน    

              ๑.๓.๓     มัธยมชวร  คือนับจากวันที่ ๘ ไปถังวันที่ ๑๕ รวม ๘ วัน    

              ๑.๓.๔     โบราณชวร  คือนับจากวันที่ ๑๖ ไปถึงวันที่ ๑๗ รวม ๒ วัน

   

    ต่อไปจากนี้ ธาตุต่างๆ ได้พิการไปแล้วโดยไม่มีกำหนด วันเวลาว่านานเท่าไร ระยะนี้เราเรียกว่า จัตตุนันทชวร    

    ๑.๔     ลักษณะของไข้ กล่าวไว้ว่า แสดงโทษ ดังต่อไปนี้   

              ๑.๔.๑     ไข้เอกโทษ  มี ๓ สถานคือ

                     ๑.    กำเดาสมุฎฐาน   มีอาการจิตให้ฟุ้งซ่าน ปวดหัว  จิตหวั่นไหว ตัวร้อนจัด นัยน์ตา เหลือง แต่ปัสสาวะแดง อาเจียนมีสีเหลือง กระหายน้ำ ปากขม น้ำลายแห้ง ผิวหนังแตกระแหง ผิวหน้าแดง ตัวเหลือง กลางคืนนอนไม่หลับ เวลาจับ จิตใจมักเคลิ้มหลงไหล น้ำตาไหล    

                     ๒.   เสมหะสมุฎฐาน  มีอาการหนาวมาก ขนลูกชันทั่วตัว จุกในอก แสยงขน กินอาหารมิได้ ปาก    

    หวาน ปัสสาวะเหลือง ผิวตัวแดง ฟันแห้ง ลิ้นคางแข็ง ปากแห้ง น้ำลายเหนียว    

                     ๓.   โลหิตสมุฎฐาน ( ไข้เพื่อโลหิต)  มีอาการตัวร้อนจัด ปวดหัว กระหายน้ำ เจ็บตามเนื้อตามตัว    

    ปัสสาวะเหลือง ผิวตัวแดง ฟันแห้ง ลิ้นคางแข็ง ปากแห้ง น้ำลายเหนียว

    

              ๑.๔.๒     ไข้ทุวันโทษ  มี ๔ สถานคือ    

                     ๑.   ทุวันโทษ ลมและกำเดา  มีอาการจับหนาวสะท้าน ตัวร้อนจัด  กระหายน้ำ  เหงื่อตก  จิตใจ     

    ระส่ำระสาย  วิงเวียน  ปวดหัวมาก    

                     ๒.   ทุวันโทษ กำเดาและเสมหะ  มีอาการหนาวสะท้าน  แสยงขน  จุกแน่นในอก  หายใจขัดไม่    

    สะดวก  เหงื่อตก ปวดหัว ตัวร้อน    

                     ๓.   ทุวันโทษ ลมและเสมหะ  มีอาการหนาว  ต่อมาจะรู้สึกร้อน( ร้อนๆ หนาวๆ ) วิงเวียน เหงื่อ    

    ไหล ปวดหัว นัยน์ตามัว  ไม่ยอมกินอาหาร    

                     ๔.   ทุวันโทษ กำเดาและโลหิต  มีอาการนอนไม่หลับ ตอนกลางคืน แต่พอหลับตา มักจะเพ้อ ปวด     

    หัวมาก  จิตใจกระวนกระวาย ร้อนในกระหายน้ำ  เบื่ออาหารไม่ยอมกิน

    

              ๑.๔.๓     ไข้ตรีโทษ  มี ๓ สถานคือ    

                     ๑.   ตรีโทษ เสมหะ กำเดา และลม  มีอาการ เจ็บตามข้อทั่วทั้งลำตัว  ร้อนใน  กระหายน้ำ  จิตใจ    

    ระส่ำระสาย  เหงื่อไหลโทรมทั่วตัว  ง่วนนอนมาก    

                     ๒.   ตรีโทษ กำเดา โลหิต และลม  มีอาการ ปวดเมื่อยทั้งตัว  ปวดหัวมากที่สุด เกิดวิงเวียน หนักหัว  หนาวสะท้าน  ไม่ใคร่รู้สึกตัว เหม็นเบื่ออาหาร เซื่องซึม ง่วงนอน    

                     ๓.   ตรีโทษ โลหิต เสมหะ และกำเดา  มีอาการเร่าร้อน กระหายน้ำ กลางคืนหลับไม่สนิท จิตใจ     

    ระส่ำระสาย  เหงื่อตก หน้าเหลือง อาเจียนเป็นสีเหลือง มีโลหิต นัยน์ตาแดงจัด

อนึ่ง ถ้าหากกำเดา เสมหะ โลหิต และลม ๔ ประการนี้ รวมกันให้โทษ ๔ อย่าง คือ  ตัวแข็ง หายใจขัด ชักคางแข็ง ลิ้นแข็ง ท่านเรียกโทษนี้ว่า มรณชวร หรือ ตรีทูต    

         

    ๑.๕      กำเนิดไข้โดยรู้จากอาการของไข้นั้นๆ ที่แสดงให้เห็น เช่น     

               ๑.๕.๑     ไข้สันนิบาต คือ       

                ๑.     ไข้ไดให้มีอาการตัวร้อน กระหายน้ำ หมดแรง ปากแตกระแหง นัยน์ตาแดง เจ็บไปทั่วตัว ชอบ อยู่ในที่เย็นๆ    

                ๒.     ไข้ใดให้มีอาการตัวเย็น ชอบนอน เบื่ออาหาร เจ็บในคอ และลูกตา นัยน์ตาแดงจัด เจ็บหูทั้ง ซ้ายขวา 

                ๓.     ไข้ใดให้มีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ปวดฟัน เจ็บในคอ ขัดหน้าอก กระหายน้ำมาก ไม่มีแรง อ่อนเพลีย ปัสสาวะ และอุจจาระไม่ใคร่ออก

    

                ๑.๕.๒     ไข้สันนิบาตโลหิต คือ     

                      ไข้ใดให้มีอาการเจ็บที่สะดือ แล้วลามขึ้นไปข้างบน วิงเวียน หน้ามืด เจ็บที่ท้ายทอย(กำดัน) ขึ้นไปถึงกระหม่อม  สะบัดร้อน สะบัดหนาว ท้องอืดแน่น  อาการเช่นนี้ ท่านเรียกว่าเป็น   สันนิบาตโลหิต

    

                ๑.๕.๓      ไข้สันนิบาตปะกัง คือ     

                       ไข้ใดให้เห็นฝีเม็ดสีแดงผุดทั่วตัว มีอาการปวดหัว เมื่อตอนพระอาทิตย์ขึ้น ไข้นี้เรียกว่า ไข้สันนิบาตปะกัง

    

                ๑.๕.๔     ไข้ตรีโทษ คือ     

                       ไข้ใดเมื่อพิศดูรูปร่างแล้ว มีลายตามตัว มีอาการเพ้อละเมอไป  ผู้อื่นพูด้วยไม่ได้ยินเสียง (หูอื้อ) เรียกว่า ไข้ตรีโทษ

    

                ๑.๕๕     ไข้ที่เกิดจากลมและเสมหะระคนกัน คือ     

                       ไข้ใดมีอาการหนาวสะท้าน เกียจคร้าน วิงเวียน ปวดหัว แสยงขน กระหายน้ำ เจ็บบริเวณเอว และ ท้องน้อย ในปากคอ และน้ำลายแห้ง นอนหลับมักลืมตา ทั้งนี้เพราะลมและเสมหะระคนกัน

                ๑.๕.๖     ไข้ที่เกิดจากเสมหะและดีระคนกันคือ    

                      ไข้ใดให้มีอาการหน้าแดง ผิวหน้าแห้ง กระหายน้ำ นอนไม่หลับ อาเจียน และ ปัสสาวะออกมามีสี เหลือง มักหมดสติไป ไข้นี้ท่านว่า เสมหะระคนกับดี

                ๑.๕.๗     ไข้ที่เกิดจากลมและกำเดาคือ

    

 ไข้ใดให้มีอาการท้องขึ้น วิงเวียน สะอึก และอาเจียน ไข้นี้เป็นโทษลมและเสมหะกระทำ

                ๑.๕.๘     ไข้ที่เกิดจากเลือดลมและน้ำเหลือง คือ     

                       ไข้ใดที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนแต่น้ำลาย ไข้นี้ท่านว่าเลือดลมและน้ำเหลืองเข้ามาระคนกัน

    

                ๑.๕.๙     ไข้เพื่อดี คือ     

                       ไข้ใดให้มีอาการขมในปาก เจ็บหัว นอนมาก และเจ็บตามตัว โทษนี้เกิดจากเป็นไข้เพื่อดี

                ๑.๕.๑๐    ไข้เพื่อกำเดา คือ     

                        ไข้ใดให้มีอาการปวดหัว อาเจียน นอนไม่หลับ กระหายน้ำ เจ็บในปากและในคอ หรือไข้ใดให้มี อาการเจ็บนัยน์ตา หัวร้อนดังกระไอควันไฟ ท่านว่า กำเดาให้โทษ

    

                ๑.๕.๑๑    ไข้เพื่อโลหิต คือ

    

                        ไข้ใดให้มีอาการเจ็บแต่ฝ่าเท้า และร้อนขั้นไปทั่วตัว ให้เร่งรักษาแต่ภายในกลางคืนนั้น อย่าให้ทัน ถึงรุ่งเช้า จะมีอันตราย มีอาการเจ็บมากที่หน้าผาก จิตใจกระวนกระวาย ท่านว่า เป็นไข้เพื่อโลหิต

    

                ๑.๕.๑๒    ไข้เพื่อเสมหะ คือ     

                         ไข้ใดให้มีอาการ นอนฝัน เพ้อ น้ำลายมากในปาก มือและเท้าเย็น อยากกินอาหารคาวหวาน มือและเท้ายกไม่ขึ้น สะบัดร้อนสะบัดหนาว โทษนี้เสมหะกระทำ

    

                ๑.๕.๑๓    ไข้เพื่อลม คือ     

                         ๑.   ไข้ใดให้มีอาการ ขมในปาก อยากกินแต่ของแสลง เนื้อสั่นระริก และเสียวไปทั้งตัว เจ็บไป ทั้งตัว จุกเสียด หรือ    

                         ๒.  ไข้ใดให้มีอาการหนาวสะท้าน บิดขี้เกียจ ยอกเสียดในอก ท่านว่า เป็นไข้เพื่อวาตะ ลม) หรือ    

                         ๓.   ไข้ใดให้มีอาการหนาวสะท้าน อาเจียน แสยงขน ปากหวาน เจ็บไปทั่วตัว อยากนอนตลอด เวลา เบื่ออาหาร หรือ    

                         ๔.   ไข้ใดให้มีอาการสะอึก อาเจียน และร้อนรุ่มกลุ้มใจ ท่านว่าเป็นไข้เพื่อลม    

                         ๕.   ไข้ใดให้หมอดูร่างกาย เศร้าดำ ไม่มีราศี ไอ กระหายน้ำ ฝาดปาก เจ็บอก หายใจขัด เพราะในท้องมีก้อนๆ ทั้งนี้เป็นไข้เพื่อลม    

                 ๑.๕.๑๔    ไข้เพื่อกำเดา คือ     

                         ไข้ใดให้มีอาการเจ็บตามผิวหนัง ปัสสาวะเหลือง ร้อนใน กระวนกระวาย ชอบอยู่ในที่เย็น นัยน์ตาแดง ลงท้อง กระหายน้ำ ทั้งนี้เป็นไข้เพื่อกำเดา

   

                ๑.๕.๑๕     ไข้ลำประชวร คือ     

                         ผู้ใดมีอาการเป็นไข้เรื้อรัง มาเป็นเวลานานๆ รักษาไม่หาย ทำให้ร่างกายซูบผอม ไม่มีแรง เบื่อ อาหาร ไข้นี้จะเนื่องมาจากไข้เพื่อเสมหะ โลหิต ดี กำเดา หรือลม เป็นเหตุก็ตาม ให้แพทย์สังเกตดูที่นัยน์ตาของ คนไข้  จะรู้ได้ว่า คนไข้นั้นเป็นไข้เพื่ออะไร ซึ่งมี ๕ ประการด้วยกัน คือ    

                         ๑.   ไข้เพื่อกำเดา   มีอาการ ปวดหัวตัวร้อน สะท้านร้อนสะท้านหนาว ไม่มีน้ำตา ปากคอ แห้ง กระหายน้ำ  นัยน์ตาแดงดังโลหิต    

                         ๒.   ไข้เพื่อโลหิต   มีอาการปวดหัวตัวร้อน หน้าแดง นัยน์ตาแดง มีน้ำตาคลอ นัยน์ตาแดง ดังโลหิต

    

                         ๓.   ไข้เพื่อเสมหะ  มีอาการหนาว แสยงขน ขนลุกทั่วตัว หรือไม่ร้อนมาก นัยน์ตาเหลือง ดังขมิ้น

     

                         ๔.   ไข้เพื่อดี   มีอาการตัวร้อน เพ้อคลั่ง ปวดหัว กระหายน้ำ ขอบนัยน์ตาสีเขียว เป็นแว่น

    

                         ๕.   ไข้เพื่อลม  มีอาการวิงเวียน หน้ามืด ตัวไม่ร้อน นัยน์ตาขุ่นคล้ำ และมัว

    

                               อีกพวกหนึ่ง นัยน์ตาไม่สู้แดงนัก ( แดงเรื่อๆ) ถ้าเป็นกับชาย เกิดจากเส้นอัมพฤกษ์ ถ้าเป็นกับหญิง เกิดจากเส้นปัตคาด    

               ๑.๕.๑๖     ไข้เพื่อลมและเสมหะ คือ     

                        ไข้ใดให้มีอาการปวดหัวมาก ไอ หาวนอน บิดตัวเกียจคร้าน เหงื่อไหล ทั้งนี้ เป็นเพราะถูกลม เสมหะ

    

               ๑.๕.๑๗     ไข้เพื่อเสมหะและกำเดา คือ     

                        ไข้ใดให้มีอาการซึมมัว กระหายน้ำ ขมปาก ท้องร้อง เจ็บตามตัว เหงื่อไหล ไอ ตัวไม่ร้อน เป็น ปกติ ทั้งนี้เป็นเพราะเสมหะ และกำเดา 

   

               ๑.๕.๑๘     ไข้ตรีโทษ คือ     

                        มีโทษ ๓ ประการ คือ เจ็บไปทั้งตัว  นอนไม่หลับ  และเบื่ออาหาร อาการ ๓ ประการนี้ จะเกิดขึ้น ในขณะอยู่ในทุวันโทษ ซึ่งแพทย์พอรักษาได้    

               ๑.๕.๑๙     ไข้สันนิบาต คือ     

                        ไข้ใดให้มีอาการไอแห้ง หอบ มีเสมหะในคอ เล็บมือและเล็บเท้าเขียว นัยน์ตาสีเขียว มีกลิ่นตัว สาบ ดังกลิ่นสุนัข แพะ แร้ง หรือนกกา โกรธง่าย เรียกว่า ไข้สันนิบาต มักถึงที่ตาย

    

               ๑.๕.๒๐     ลักษณะไข้แห่งปถวีธาตุ คือ     

                        ไข้ใดเมื่อล้มไข้ลงได้ ๑-๒ วัน ให้มีอาการเซื่องมัว หมดสติ ไม่ถ่ายอุจจาระ ถ่ายยาก็ไม่ออก ไม่กิน อาหาร แต่อาเจียนออกมา ถ้าอาการเหล่านี้ยืนนานไปถึง ๑๐-๑๑ วัน ท่านว่าตาย เพราะเป็นลักษณะแห่งปถวีธาตุ

    

               ๑.๕.๒๑     ลักษณะไข้แห่งวาโยธาตุ คือ     

                        ไข้ใดเมื่อล้มไข้ลงได้ ๓-๔ วัน ให้มีอาการนอนสะดุ้ง หมดสติ เพ้อ เรอ อาเจียนแต่น้ำลาย มือและ เท้าเย็น โรคนี้ตาย ๒ ส่วน ไม่ตาย ๑ ส่วน ทั้งนี้เป็นโทษแห่งวาโยธาตุ ถ้าแก้มือเท้าเย็นให้ร้อนไม่ได้ อาการจะทรง เรื้อรังไปถึง ๙ วัน ๑๐ วัน จะตายอย่างแน่แท้  

               ๑.๕.๒๒    ลักษณะไข้แห่งวาโยธาตุ คือ     

                        ไข้ใดเมื่อล้มไข้ลงได้ ๔ วัน มีอาการท้องเดิน บางทีมีเสมหะ และโลหิตตามช่องทวารทั้งหนัก และและเบา บางทีอาเจียนเป็นโลหิต ไข้ใดเป็นดังนี้ เป็นเพราะอาโปธาตุบันดาลให้เป็นไป ถ้ารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น อยู่เป็นเวลา ๘-๙ วัน ต้องตายแน่นอน    

               ๑.๕.๒๓    ลักษณะไข้แห่งเตโชธาตุ คือ     

                        ไข้ใดเมื่อล้มไข้ลงได้ ๓-๔ วัน มีอาการร้อนไปทั้งตัว ทั้งภายนอก ภายใน ทุรนทุราย หัวใจสับสน ต้องใช้น้ำเช็ดตัวไว้เสมอ ลิ้นแห้ง คอแห้ง แห้งในอก กระหายน้ำ คลั่งไคล้ หมดสติไป ให้เจ็บโน่น เจ็บนี่ทั่วร่างกาย คล้ายคนมีมารยา อยากกินของแสลง ดุจผีปอบ  อยู่ภายใน โทษนี้ คือโทษ แห่งเตโชธาตุ ถ้าแก้ความร้อน ไม่ตก และอาการยืนอยู่ต่อไป ๗-๘ วัน ต้องตายแน่

         ต่อไปนี้ ขอให้แพทย์ให้จำไว้ให้แม่นยำว่า ไข้เอกโทษ ทุวันโทษ และไข้ตรีโทษนั้น ถ้ามีการทับสลับกัน ทำ ให้มีอาการผิดแปลกไปดังต่อไปนี้

    

    ๑.     ลมเป็นเอกโทษ มักจะเกิดกับบุคคลอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป ในฤดูวัสสานฤดู เริ่มแต่หัวค่ำ ให้สะท้านร้อน สะท้าน สะท้านหนาว ปากคอ เพดานแห้ง เจ็บไปทุกเส้นเอ็น ทั่วตัว( ปวดเมื่อย) เป็นพรรดึก นอนไม่หลับ จับแต่หัวค่ำ และ จะค่อยๆ คลายลงภายใน ๔ นาทีเรียกว่า เอกโทษลม

     ถ้าไข้นั้นไม่คลายไป จนถึงเที่ยงคืน ก็จะเข้าเป็น ทุวันโทษ เกิดเป็นเสมหะกับลม และถ้าไข้นั้นยังไม่คลาย จับต่อ ไป ถึงย่ำรุ่งตลอดไปถึงเที่ยงวัน เรียกว่า ตรีโทษ ประชุมกันเป็นสันนิบาต

      ท่านว่า ถ้าลมเป็นเอกโทษ พ้น ๗ วัน จึงวางยา ถ้าไม่ถึง ๗ วัน ไข้นั้นกำเริบ คือไข้ยังจับต่อไปอีก ให้แพทย์รีบ วางยา

    

    ๒.   ดีเป็นเอกโทษ   มักเกิดกับบุคคลอายุ ๓๐-๔๐ ปี ไข้จะเกิดในคิมหันตฤดู เริ่มแต่เที่ยงวัน มีอาการตัวร้อน คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ กระวนกระวายใจ มึนซึม ในคอมีเสมหะ อุจจาระ ปัสสาวะมี สีเหลืองปนแดง เหงื่อไหล เรียกว่าเอกโทษดี จับแต่เที่ยงไป ๕ นาที ก็จะคลาย

      ุถ้าดีเป็นเอกโทษ จับไข้ยังไม่คลาย จับไปจนถึงค่ำก็เข้าเป็นทุวันโทษ เกิดเป็นลมระคนดี

      ถ้าไข้นั้นยังไม่คลาย ลงจนถึงเที่ยงคืน และจับต่อไปจนรุ่งเช้า ท่านว่าเป็นสันนิบาตตรีโทษ ให้รีบวางยา

     ท่านว่า ถ้าจับเอกโทษดี เริ่มจับแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป ๔-๕ นาที ก็จะสร่างคลาย กำหนด ๙ วัน จึงวางยา

    

     ๓.   เสมหะเอกโทษ   มักเกิดกับบุคคลอายุ ๑๕ ปี ในเหมันตฤดู เริ่มจับแต่เช้าตรู่ ตอนไก่ขัน มีอาการร้อนข้าง นอกกาย แต่ภายในหนาว แสยงขน ไอ คอตีบตื้น กินอาหารไม่ลง เซื่องมัว ปากหวาน นัยน์ตาขาว อุจจาระ ปัสสาวะ ขาว ไข้จับแต่เช้าตรู่ ไป ๕ นาที เรียกว่า เสมหะเอกโทษ

    ถ้าไข้ยังไม่สร่างคลายไปจนถึงเที่ยงวันจนถึงบ่าย ๕ นาที ดีจะมาระคนกับเสมหะ และถ้าไข้ยังจับต่อไปอีก จนถึง เย็นค่ำ และต่อไป เป็นสันนิบาตตรีโทษ

    

         ๑.   ทุวันโทษเสมหะและดี  เกิดกับบุคคลอายุอยู่ในปฐมวัย คือ ภายใน ๑๖ ปี เป็นไข้ในคิมหันตฤดู มีเสมหะ เป็นตันไข้ และดีเข้ามาระคนเป็น ๒ สถาน ทำให้มีอาการสะท้านร้อนสะท้านหนาว ในปากและคอเป็นเมือก กระหายน้ำ หอบ ไอ เซื่องมัว ตัวหนัก ไข้เริ่มจับแต่เช้าตรู่ จะสร่างคลาย ตอนบ่าย ๓ นาที

     ๒.   ทุวันโทษดีและลม  เกิดกับบุคคลอายุ ๓๐-๔๐ ปี วสันตฤดู มีดีเป็นต้นไข้ เริ่มจับตั้งแต่ เที่ยงวันไปจนถึง เย็น ค่ำ จึงจะสร่างคลาย มีอาการเซื่องมัว ปวดเมื่อยตามข้อ หาว อาเจียน ปากและคอแห้ง ขนลุกขนพอง มักสะดุ้ง ตัวร้อน ทั้งนี้เป็นเพราะลมเข้าระคนกันเป็นทุวันโทษ

     ๓.   ทุวันโทษลมและเสมหะ  เกิดกับบุคคลอายุ ๔๐-๕๐ ปี( เหมันตฤดู) มีอาการหนักตัว ไอ ปวดหัว เมื่อยตามมือและเท้า มีลมเป็นต้นไข้ เริ่มจับแต่ตอนค่ำ ไปจนถึงรุ่งเช้า จะสร่างคลายลง มีอาการร้อนรนภายใน เหงื่อไม่มี ข้างนอกเย็น ทั้งนี้เป็นเพราะลม และเสมหะ คนกันเป็น ทุวันโทษ

    

         ได้กล่าวถึงเอกโทษ และทุวันโทษ แล้วตามลำดับมา ถ้าไข้นั้นยังมิสร่างคลายจับเรื่อยตลอดมา จะเป็นโทษ ๓ ระคนกัน เข้าเป็นโทษสันนิบาต    

         สันนิบาต จะเกิดระหว่างฤดู ๓ หรือฤดู ๖ ก็ตาม ให้กำหนดในตอนเช้า เป็นต้น   ไข้กำเริบเรื่อยไปจนถึงเย็นและ เที่ยงคืน ท่านว่าไข้นั้นตกถึงสันนิบาต เหงื่อออกมาก นัยน์ตาเหลือง บางทีแดง นัยน์ตาถลน มองดูสิ่งใดไม่ชัด ดูดุจคนบ้า  หูปวดและตึง คันเพดาน หอบและหายใจสะอื้น ลิ้นปากเป็นเม็ดเน่าเหม็น ลิ้นบวมดำ เจ็บในอก หัวสั่น เวลาหลับตาแต่ใจไม่หลับ ลุกนั่งไม่ไหว พูดพึมพำ อุจจาระบางทีเขียว บางทีดำ กะปริดกะปรอย รอบๆ ข้อมือมีเส้น มีลายสีเขียว สีแดง ถ้าเส้นสีเขียวมีตามตัว ท้องขึ้น ผะอืดผะอม มีลมในท้อง ท่านว่าธาตุไฟทั้ง ๔ นั้นดับสิ้น จากกาย

    

         ถ้าผู้ใดป่วยเข้าขั้นสันนิบาต มีอาการบวมที่ต้นหู จะตายใน ๗ วัน ถ้าบวมที่นัยน์ตา จะตายภายใน ๗ วัน ถ้าบวม ที่ปากจะตาย ภายใน ๗ วัน

    

         จงจำไว้ว่า ถ้าทุวันโทษลมและเสมหะ อันใดอันหนึ่ง จะกล้าหรือจะหย่อน เราจะรู้ได้จากอาการ คือ ถ้าลมกล้า จะมีอาการท้องผูก ปวดเมื่อยตามข้อ ปวดหัว หมดแรง ถ้าเสมหะกล้า จะมีอาการ เป็นหวัด ไอ ลุกนั่งไม่สะดวก หนัก ตัว ถ้าดีกล้า จะจับแต่เที่ยงไปถึงบ่าย และไข้จะคล่อยคลายหายไป

    

         ถ้ามีอาการเซื่องมัว อาเจียน คลื่นไส้ แสดงว่า ดีมีกำลังกล้า

    

         ถ้ามีไข้แต่เช้ามืด ถึง ๓ โมง เซื่องมัว ตึงตามตัว ตัวหนัก จะนอนไม่ใคร่หลับสนิท ไอ คือ เสมหะ ให้โทษกล้า กว่าดี

    

         ทุวันโทษดีและลม ถ้าลมกล้า จะมีอาการจับไข้แต่บ่าย ๓ โม. มีอาการเซื่องมัว หาวเป็นคราวๆ นอนไม่หลับ จนถึงเวลาพลบค่ำ จึงสร่างคลาย คนไข้จะหลับสนิท     

         ถ้าดีมีกำลังกล้า จะเริ่มจับไข้แต่เที่ยงไป จะมีอาการซวนเซ เมื่อลุกนั่ง หรือยืน ตัวร้อน อาการนี้ จะมีไปถึงบ่าย ๕ นาที จะสร่างคลาย

     

         สันนิบาต มี ๓ สถาน คือ ดีเสมหะ และลม

    

          ทุวันโทษดีและเสมหะ มีลมมาแทรก ทำให้แรงขึ้น คือ ตั้งแต่บ่าย ๕ นาที ถึงสมยาม มีอาการเซื่องมัว มันตึงตาม ตัว หลับหรือตื่นไม่รู้สึกตัว มักนอนสะดุ้ง หูตึง ทั้งนี้เพราะลมมีกำลังกล้า มันจะพัดไปตามหู ตาและคอ

    

         ถ้าเสมหะกล้า จะเริ่มจับแต่บ่าย ๕ นาที ไปจนถึงพลบค่ำ ต่อไปจนถึงสว่าง ๓ นาที เช้า   อาการจะสร่างคลาย ลง อาการนั้นมีดังนี้คือ ลุกนั่งไม่สะดวก หอบบ่อยๆ คลื่นไส้ ถ่มน้ำลาย หนักตัว ตึงผิวหนัง ปากลิ้นเป็นเมือก